Lucky Clover

วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ใบงานที่5 บทความที่สนใจ

Amazing Thailand
(มหัศจรรย์ประเทศไทย)

ที่มา : http://xn--42cgj2bhm9b4agdyu3mvaie2qe7f6ge.com/wp-content/uploads/2016/02/%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B8%98%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-14.jpg



ชื่อทั่วไป : ประเทศไทย, เมืองไทย, ไทย (Thailand)
ชื่ออย่างเป็นทางการภาษาไทย : ราชอาณาจักรไทย
ชื่ออย่างเป็นทางการภาษาอังกฤษ : The Kingdom of Thailand
พระประมุข : พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช

ที่มา : http://topicstock.pantip.com/isolate/topicstock/2010/12/M10025857/M10025857-12.jpg



สกุลเงิน : บาท (THB)
เขตเวลา (Time Zone) : UTC+7 หรือ GMT+7 (เร็วกว่าเวลามาตรฐานกรีนนิช 7 ชั่วโมง)
รหัสโทรศัพท์ระหว่างประเทศ : 66 (การโทรศัพท์มายังประเทศไทยให้กด +66 ตามด้วยหมายเลขปลายทาง)
สัตว์ประจำชาติ : ช้าง
ดอกไม้ประจำชาติ : ดอกราชพฤกษ์ หรือดอกคูน (อีสาน) หรือ ดอกลมแล้ง (เหนือ)
ภาษาราชการ : ภาษาไทย (Thai)
ธงประจำชาติ : เป็นธง 3 สี 5 แถบ โดยมีสีแดงอยู่แถบที่ 1 และแถบที่ 5 มีสีขาวอยู่แถบที่ 2 และแถบที่ 4 และมีสีน้ำเงินอยู่แถบที่ 3



ที่มา : https://daily.rabbitstatic.com/wp-content/uploads/2016/03/iStock_000023631973_Small.jpg


ที่มา : http://f.ptcdn.info/621/003/000/1364530703-6JPG-o.jpg



ลักษณะทางภูมิศาสตร์
ทวีป : เอเชีย
อนุทวีป : เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
พิกัดที่ตั้ง :
- ทิศเหนือ จรดเส้นรุ้ง 20 องศา 25 ลิบดา 30 ฟิลิบดา เหนือ
- ทิศใต้ จรดเส้นรุ้ง 5 องศา 37 ลิบดา
- ทิศตะวันออก จรดเส้นแวง 105 องศา 37 ลิบดา 30 พิลิบดา
- ทิศตะวันตก จรดเส้นแวง 97 องศา 22 ลิบดา ตะวันออก
พื้นที่ : ประเทศไทยมีพื้นที่ 513,115 ตารางกิโลเมตร (198,115 ตารางไมล์) หรือ 320 ล้านไร่ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 50 ของโลก อันดับ 12 ของทวีปเอเชีย และอันดับ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากประเทศอินโดนีเซียและประเทศพม่า
พรมแดน :
- ทิศเหนือ ติดกับประเทศพม่า และ สปป.ลาว จุดสูงสุดอยู่ที่ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
- ทิศใต้ ติดกับประเทศมาเลเซียและทะเลอ่าวไทย จุดต่ำสุดอยู่ที่ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา
- ทิศตะวันออก ติดกับประเทศกัมพูชาและ สปป.ลาว จุดตะวันออกสุดอยู่ที่ อำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี
- ทิศตะวันตก ติดกับประเทศพม่าและทะเลอันดามัน จุดตะวันตกสุดอยู่ที่ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน

แผนที่ประเทศไทย




ลักษณะภูมิศาสตร์แยกตามภาค
ภาคเหนือ  เป็นพื้นที่สูง มียอดเขาสูงสลับซับซ้อนมากมาย มีเทือกเขาสำคัญคือเทือกเขาถนนธงชัย ซึ่งยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทยคือดอยอินทนนท์ (สูง 2,565 เมตรจากระดับน้ำทะเล) อยู่บนเทือกเขานี้ โดยตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ ภาคเหนือยังเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสายสำคัญหลายสาย เช่น แม่น้ำปิง แม่น้ำวัง แม่น้ำยม แม่น้ำน่าน (แม่น้ำทั้ง 4 สายนี้รวมกันเกิดเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา) แม่น้ำกก แม่น้ำรวก แม่น้ำสาย และแม่น้ำเมย เป็นต้น นอกจากนี้ภาคเหนือยังเป็นพื้นที่ป่าไม้ที่สำคัญของไทยด้วย


แผนที่ภาคเหนือ
แผนที่ภาคเหนือของไทย
ภูมิประเทศภาคเหนือ
ภูมิประเทศภาคเหนือเป็นเทือกเขาสูงสลับซับซ้อน






ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  หรือที่คนไทยนิยมเรียกสั้นๆว่าภาคอีสาน มีลักษณะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่สูงหรือที่ราบสูง เรียกว่าที่ราบสูงโคราช มีภูเขาสูงอยู่ทั่วไป ภาคอีสานเป็นพื้นที่ที่แห้งแล้งที่สุดของไทย ดินไม่ค่อยเหมาะสมต่อการเพาะปลูกมากนัก แต่กลับเป็นพื้นที่สามารถปลูกข้าวพันธุ์ดีที่สุดของไทย (ข้าวหอมมะลิ) ได้ผลผลิตดีที่สุด แม่น้ำสายสำคัญของภาคอีสานคือแม่น้ำมูล แม่น้ำชี           และแม่น้ำโขง

แผนที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
แผนที่ภาคอีสานของไทย
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ภาคอีสานแหล่งปลูกข้าวหอมมะลิที่สำคัญ





ภาคกลาง  เป็นที่ราบลุ่มกว้างใหญ่ เรียกว่าพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา เป็นแหล่งเพาะปลูกที่สำคัญที่สุดของประเทศ และเป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก นอกจากแม่น้ำเจ้าพระยาแล้วยังมีแม่น้ำป่าสัก (หรือแม่น้ำท่าจีน) เป็นแม่น้ำสายรองอีกด้วย ทำให้ภาคกลางมักไม่ประสบภาวะน้ำแล้ง

ภาคกลางของไทย
แผนที่ภาคกลางของไทย
ภาคกลางของไทย
ภาคกลางแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญของโลก




ภาคใต้ 
มีพื้นที่เป็นทิวเขาสูงสลับที่ราบลุ่มและชายหาดทะเล เป็นแหล่งปลูกยางพาราที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยหมู่เกาะที่สวยงามทั้งฝั่งอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามัน นอกจากอาชีพปลูกยางพาราและอาชีพบริการด้านกาท่องเที่ยวแล้ว ประชากรในภาคใต้ยังประกอบอาชีพประมงและเหมืองแร่ด้วย

แผนที่ภาคใต้ของไทย
แผนที่ภาคใต้ของไทย
อ่าวมาหยา แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม
อ่าวมาหยา สถานที่เที่ยวยอดนิยม




ภาคตะวันออก
  พื้นที่ของภาคตะวันออกเป็นพื้นที่ลักษณะผสมผสาน กล่าวคือทางฝั่งตะวันออกของภาคเป็นเทือกเขาสูง ซึ่งเป็นเส้นพรมแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศกัมพูชา ตอนกลางของภาคเป็นที่ราบซึ่งเหมาะสมต่อการเพาะปลูก ผลผลิตหลักของพื้นที่ส่วนนี้คือผลไม้ เช่น ทุเรียน เงาะ มังคุดและมะม่วง เป็นต้น ส่วนทางฝั่งตะวันตกเป็นพื้นที่ชายทะเลที่สวยงามและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก เช่น พัทยา บางแสน สัตหีบ หาดแม่รำพึง หาดบ้านเพ และแหลมแม่พิมพ์เป็นต้น

แผนที่ภาคตะวันออกของไทย
แผนที่ภาคตะวันออกของไทย
ภาคตะวันออกของไทย
พัทยา เมืองท่องเที่ยวชื่อก้องโลก




ภาคตะวันตก
  พื้นที่ของภาคตะวันตกจะมีพื้นที่ 3 ลักษณะผสมกันกล่าวคือ ด้านตะวันตกที่ติดกับประเทศพม่าจะเป็นทิวเขาสูงสลับซับซ้อน เป็นป่าไม้ที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ เป็นทั้งป่าต้นน้ำและแหล่งอุทยานแห่งชาติขนาดใหญ่ เช่น อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ตอนกลางของภาคเป็นที่ราบลุ่มสามารถเพาะปลูกได้ผลดี ส่วนด้านตะวันออกเป็นส่วนที่ติดกับทะเล จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญและมีชื่อเสียง เช่น หัวหินและชะอำ เป็นต้น นอกจากนี้ประชากรทางฝั่งตะวันออกบางส่วนยังประกอบอาชีพประมงด้วย

ภาคตะวันตกของไทย
แผนที่ภาคตะวันตกของไทย
ภาคตะวันตกของไทย
ชายทะเลหัวหิน ที่เที่ยวสุดคลาสสิค


ลักษณะภูมิอากาศ
ประเทศไทยมีลักษณะภูมิอากาศแบบร้อนชื้น ซึ่งหมายถึงมีอากาศร้อนและมีความชื้นสูง แบ่งออกเป็น 3 ฤดู คือฤดูหนาว ฤดูฝน และฤดูร้อน โดยที่ฤดูหนาวเริ่มตั้งเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ฤดูร้อนเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเดือนถึงเดือนพฤษภาคม และฤดูฝนเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนตุลาคม ยกเว้นทางภาคใต้จะมีเพียงแค่ 2 ฤดูเท่านั้นคือฤดูร้อนและฤดูฝน (ฤดูหนาวของภาคอื่นจะกลายเป็นฤดูฝนเพิ่มเติมให้ภาคใต้นอกเหนือไปจากฤดูฝนตามปกติ)


แม่คะนิ้งหรือน้ำค้างแข็ง มักเกิดขึ้นในฤดูหนาวที่ภาคเหนือของไทย
ในฤดูหนาว ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนจะมีอากาศที่หนาวเย็น บางครั้งอุณหภูมิยอดดอยลดลงต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส ในขณะที่ภาคอื่นจะมีอุณหภูมิสูงกว่า โดยเฉลี่ยช่วงหนาวสุดราว 15-25 องศาเซลเซียส ในขณะที่หน้าร้อนทั่วทุกภาคของประเทศจะมีอุณหภูมิช่วงสูงสุดอยู่ในช่วง 35-40 องศาเซลเซียส





ประวัติของประเทศไทย



ประเทศไทยหรือชนชาติไทยมีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน และในแผ่นดินสุวรรณภูมิแห่งนี้ก็มีอาณาจักรโบราณอยู่มากมาย เช่น อาณาจักรขอมโบราณ อาณาจักรทวาราวดี และอาณาจักรศรีวิชัย เป็นต้น ตามพงศาวดารของไทย ชนชาติไทยมีประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปจนถึงอาณาจักรโยนกและน่านเจ้า แต่หลักฐานต่างๆไม่ชัดเจนนัก ดังนั้นเราจึงนับประวัติศาสตร์ของชนชาติไทยจากหลักฐานที่ชัดเจนเท่านั้น นั่นก็คือนับตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัยเป็นต้นมา
นับจากอาณาจักรสุโขทัยเป็นต้นมา ประเทศไทยได้ผ่านยุคหรืออาณาจักรต่างๆมาแล้ว 4 ยุค ดังนี้

1. สมัยอาณาจักรสุโขทัย
อาณาจักรสุโขทัยมีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดสุโขทัยในปัจจุบัน มีความเจริญรุ่งเรืองอยู่ในช่วงปี พ.ศ. 1792 ถึง พ.ศ. 1981 รวม 189 ปี ก่อนที่สุดท้ายจะถูกยุบรวมกับอาณาจักรอยุธยา อาณาจักรสุโขทัยถูกสถาปนาขึ้นโดยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ และถือว่าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นกษัตริย์พระองค์แรกของชาติไทย อาณาจักรสุโขทัยมีกษัตริย์ปกครองทั้งหมด 8 พระองค์ รวมถึงพ่อขุนรามคำแหงมหาราชผู้ทรงคิดค้นอักษรไทยด้วย

2. สมัยอาณาจักรอยุธยา
อาณาจักรอยุธยาได้เริ่มสถาปนาตั้งแต่ปี พ.ศ. 1893 ถึง พ.ศ. 2310 โดยสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง โดยมีที่ตั้งอยู่ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาในปัจจุบัน ต่อมาภายหลังได้ผนวกเอาอาณาจักรสุโขทัยเข้าไว้เป็นส่วนหนึ่งด้วย อาณาจักรอยุธยาเจริญรุ่งเรืองอยู่ 417 ปี มีพระมหากษัตริย์ปกครองทั้งหมด 33 พระองค์ โดยเสียกรุงให้กับพม่าจำนวน 2 ครั้ง ครั้งแรกสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เมื่อปี พ.ศ.2112 ต่อมาสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกอบกู้เอกราชได้สำเร็จ (อยุธยาตกเป็นประเทศราชของพม่าเป็นเวลา 15 ปี) ต่อมาอยุธยาตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าอีกครั้งในสมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ เมื่อปี พ.ศ. 2310 และครั้งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงใช้เวลา 6 เดือนในการกอบกู้เอกราชคืน

3. สมัยกรุงธนบุรี
ภายหลังกอบกู้เอกราชให้กับกรุงศรีอยุธยาได้สำเร็จ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ทรงย้ายเมืองหลวงจากอยุธยาลงมายังเมืองธนบุรี เนื่องจากอยู่ในชัยภูมิที่ดีกว่า ประกอบกับกรุงศรีอยุธยาได้รับความเสียหายหนักจากการโจมตีของพม่า จนยากจะบูรณะให้งดงามดังเดิมได้ อาณาจักรกรุงธนบุรีตั้งอยู่ ณ เมืองธนบุรี (ปัจจุบันถูกผนวกรวมกับจังหวัดพระนครแล้วเปลี่ยนชื่อเป็นกรุงเทพมหานคร แต่คนส่วนใหญ่ยังเรียกส่วนที่เคยเป็นจังหวัดธนบุรีว่า ฝั่งธนบุรีหรือฝั่งธน) ระยะเวลาการตั้งอยู่ของอาณาจักรธนบุรีเพียงแค่ 15 ปี และมีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเป็นพระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียว

4. สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ภายหลังการสิ้นสุดลงของอาณาจักรกรุงธนบุรีในปี พ.ศ. 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงให้ย้ายเมืองหลวงข้ามฝั่งมายังฝั่งพระนครและทรงสร้างเมืองหลวงใหม่ ซึ่งก็คือพระบรมมหาราชวังในปัจจุบัน นับจนถึงปัจจุบันกรุงรัตนโกสินทร์มีอายุครบ 232 ปี เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2557 ที่ผ่านมา และนับจนถึงปัจจุบันมีพระมหากษัตริย์ครองราชสมบัติเป็นพระองค์ที่ 9 หรือรัชกาลที่ 9 ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช หรือ ในหลวงองค์ปัจจุบันนั่นเอง โดยทรงขึ้นครองราชย์ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2489 และทรงครองราชย์มาจนถึงปัจจุบันเป็นปีที่ 68 นับเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์นานที่สุดในโลก


ประชากร เชื้อชาติและภาษา

ข้อมูลจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ระบุว่า ณ สิ้นปี พ.ศ. 2555 ประเทศไทยมีประชากรทั้งหมด 64,456,695 คน แบ่งเป็นชาย 31,700,727 คน และหญิง 32,755,968 คน

ประเทศไทยถือได้ว่ามีความหลากหลายทางเชื้อชาติมากที่สุดประเทศหนึ่ง ประชากรไทยมีพื้นเพมาจากเชื้อชาติดังนี้ ไทยแท้ (หรือไทยสยาม) ไทยเชื้อสายลาว ไทยเชื้อสายมอญ ไทยเชื้อสายเขมรชาวไทยเชื้อสายจีน ไทยเชื้อสายมลายู ไทยเชื้อสายชวา (หรือแขกแพ) ไทยเชื้อสายจาม (หรือแขกจาม) ไทยเชื้อสายเวียดนาม ไทยเชื้อสายพม่า และไทยเชื้อสายชาวเขาเผ่าต่างๆ เช่น ชาวกะเหรี่ยง ลีซอ ชาวม้ง ส่วย เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีแรงงานต่างด้าวอีกไม่น้อยกว่า 3 ล้านคนอาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยเป็นแรงงานถูกกฏหมายเพียง 1,400,000 คน ที่เหลือเป็นแรงงานที่หลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฏหมาย

ประชากรของไทย
ภาพชาวเขาเผ่าแม้วในประเทศไทย
ประเทศไทยมีภาษาไทยเป็นภาษาราชการ แต่ในภาษาพูดประชาชนนิยมใช้ภาษาถิ่นในการสื่อสารกัน ภาษาถิ่นในประเทศไทยมีนับร้อยภาษา โดยที่ภาษาถิ่นที่มีผู้ใช้มาก เช่น ภาษาไทยเหนือ หรือ ภาษาคำเมือง ภาษาไทยอีสาน ภาษาไทยใต้ ภาษายาวี ภาษาลาว (ลาวโซ่ง ลาวพวน) ภาษาเขมร ภาษาไทยโคราช ภาษาจีนแต้จิ๋ว ภาษาจีนกลาง ภาษามอญ ภาษาชาวเขาต่างๆ (กะเหรี่ยง ขมุ ม้ง มูเซอ ลีซอ) ภาษามอแกน และภาษาประจำถิ่นอื่นๆ




ศาสนาในประเทศไทย

ในประเทศไทย ประชาชนทุกคนมีเสรีภาพที่จะนับถือศาสนาใดก็ได้ตามแต่ศรัทธาของตน โดยที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะและทรงอุปถัมภ์ทุกศาสนา ศาสนาที่มีผู้นับถือมากและได้รับการอุปถัมภ์จากรัฐบาลและองค์พระมหากษัตริย์ได้แก่
- ศาสนาพุทธ  ในประเทศไทยมีผู้นับศาสนาพุทธ 93.83%
- ศาสนาอิสลาม  ในประเทศไทยมีผู้นับศาสนาอิสลาม 4.56%
- ศาสนาคริสต์  ในประเทศไทยมีผู้นับศาสนาคริสต์ 0.80%
- ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู  ในประเทศไทยมีผู้นับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู 0.086%
- ศาสนาซิกข์  ในประเทศไทยมีผู้นับศาสนาซิกข์ 0.011%
***หมายเหตุ ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ***

ศาสนาในประเทศไทย
ศาสนาพุทธ ศาสนาที่คนไทยส่วนใหญ่นับถือ




อาหารการกิน


อาหารหลักของคนไทยคือข้าวและผลิตภัณฑ์จากข้าว ทั้งข้าวจ้าว ข้าวเหนียว ขนมจีน ก๋วยเตี๋ยว เป็นต้น อาหารไทยเป็นหนึ่งในอาหารที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก อันเนื่องมาจากรสชาติที่โดดเด่น เครื่องปรุงที่หลากหลาย และส่วนผสมอาหารไทยส่วนมากไม่ใช่ให้เพียงแค่คุณค่าทางอาหาร แต่ยังมีสรรพคุณทางยาที่ช่วยร่างกายสามารถต้านทานต่อโรคต่างๆได้ดีอีกด้วย

ข้าว อาหารหลักของคนไทย
ข้าว อาหารหลักของคนไทย


อาหารไทยในแต่ละภาคมีความแตกต่างกันและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อาหารแต่ละภาคที่มีชื่อเสียงมีดังนี้


ภาคเหนือ  อาหารเหนือที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยม เช่น น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ่อง แคปหมู น้ำเงี้ยว ข้าวซอย ลาบ ลู่ แกงฮังเล ยำไก่ ยำขนุน ไส้อั่ว แกงแค แกงหอยขม เป็นต้น

อาหารไทยภาคเหนือ
น้ำพริกอ่อง อาหารขึ้นชื่อของภาคเหนือ
ภาคอีสาน  อาหารอีสานมีหลายเมนูที่กลายเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมไปทั่วประเทศ เช่น ส้มตำ น้ำตก ไก่ย่าง ลาบ ก้อย ซกเล็ก ไส้กรอกอีสาน ต้มแซบ เสือร้องไห้ ซุปหน่อไม้ เป็นต้น โดยแต่ละเมนูได้รับการดัดแปลงให้มีส่วนผสมและรสชาติให้เหมาะกับแต่ละท้องถิ่น

อาหารไทยภาคอีสาน
ส้มตำ เมนูยอดนิยมของคนอีสานและคนไทยทั่วไป
ภาคกลาง   อาหารภาคกลางอาจเรียกได้ว่าเป็นมาตรฐานอาหารไทยที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก อาหารภาคกลางที่มีชื่อเสียง เช่น ต้มยำ แกงจืด แกงเลียง ต้มกระทิ ต้มข่า ผัดไท แกงเผ็ด แกงเขียวหวาน แกงป่า ต้มโคล้ง ยำประเภทต่างๆ ผัดผัก ผัดเผ็ด ของทอดต่างๆ ผัดกระเพรา ผัดกระเทียม ผัดพริกแกง ข้าวผัดชนิดต่างๆ น้ำพริกชนิดต่างๆ เป็นต้น


ต้มยำกุ้ง อาหารไทยภาคกลางที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก
ภาคใต้   อาหารใต้ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติที่เข้มข้นและเครื่องแกงที่เผ็ดร้อน อาหารใต้ที่ได้รับความนิยม เช่น สะตอผัดกุ้ง คั่วกลิ้ง แกงเหลือง แกงเผ็ดปลาต่างๆ แกงไตปลา แกงคั่ว ข้าวหมกชนิดต่างๆ เป็นต้น เนื่องจากความร้อนแรงของรสชาติอาหาร ดังนั้นอาหารใต้ต้องมีผักสดแกล้มพร้อมน้ำพริกกระปิด้วยเสมอ
อาหารไทยภาคใต้
คั่วกลิ้ง อาหารยอดนิยมของภาคใต้



การเมืองการปกครอง

ในปัจจุบันประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่นเดียวกับประเทศอังกฤษ ประเทศญี่ปุ่น ประเทศมาเลเซีย ประเทศกัมพูชา และอีกหลายๆประเทศในยุโรป โดยที่พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและทรงใช้อำนาจผ่าน 3 ทาง หรือ 3 ฝ่าย กล่าวคือ ทรงใช้อำนาจบริหารผ่านทางนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติผ่านทางรัฐสภา และทรงใช้อำนาจตุลาการผ่านทางศาลยุติธรรม

พระราชหัตถเลขาของล้นเกล้ารัชกาลที่ 7


ในอดีตประเทศไทยเคยใช้การปกครองระบอบอื่นมาแล้ว 2 ระบบคือ ระบอบพ่อปกครองลูกซึ่งใช้ในสมัยอาณาจักรสุโขทัย ในการปกครองระบอบนี้พระมหากษัตริย์จะเปรียบเสมือนพ่อและไพร่ฟ้าประชาชนจะเปรียบเสมือนลูก จากนั้นเปลี่ยนมาใช้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชในสมัยอาณาจักรอยุธยาจนถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวหรือล้นเกล้ารัชกาลที่ 7 แห่งจักรีบรมราชวงศ์ ในระบอบนี้จะเปรียบพระมหากษัตริย์เหมือนสมมุตติเทพ และเปลี่ยนมาเป็นระบอบประชาธิปไตยเมื่อปี พ.ศ. 2475 มาจนถึงปัจจุบัน


                                          วิดีโอแนะนำประเทศไทย


โฆษณาการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย "Thailand Happiness 2014"

เทยเที่ยวไทย The Route | ตอน 252 | เริ่มต้นประตูสู่ภาคใต้ เริ่มที่แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี

เทยเที่ยวไทย ตอน 134 - พาเที่ยว หาดใหญ่




ที่มาของข้อมูล : http://www.xn--12cg1cxchd0a2gzc1c5d5a.net/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2/





วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ใบงานที่ 4 คลังข้อสอบ

คลังข้อสอบ



ปี 2555





ปี 2556






 ปี 2557









ข้อสอบ PAT2 ปี 2553



Pat2 3-2553 from Angkana Potha

 ข้อสอบโควตา  มช ปี2541


 

โควต้ามช เคมี ปี41 from Angkana Potha



โควตามช ปี 2557 

ใบงานที่ 3 พ.ร.บ คอมพิวเตอร์


พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2559

พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2559 คือร่างแก้ใขของ พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2550 ที่ถูกปรับปรุงให้ทันสมัย เหมาะสมกับเวลาและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ดังนั้นโครงสร้างของกฎหมายสองฉบับจึงเหมือนกันเป็นส่วนใหญ่ และแน่นอนกฏหมายทั้งสองฉบับก็ต้องมีส่วนที่แตกต่างกันอยู่หลายประเด็น และหลายๆ ประเด็นก็ถูกตั้งคำถามมากมายว่าเป็นธรรมหรือไม่ เหมาะสมหรือไม่?

พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2559 ถูกเริ่มร่างเมื่อปี 2558 และยังคงแก้ใขต่อเนื่องมาถึงปี 2559 ดังนั้น พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2558 ก็คือฉบับเดียวกันกับพ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2559 นั่นเอง

ข้อแตกต่างระหว่าง พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2550กับ พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2559


ข้อแตกต่างของ พรบ พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2559 กับ ปี 2550
(ขอบคุณภาพจาก ilaw)




การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วันที่ 28 เม.ย. จะมีการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ …) พ.ศ… วาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ ซึ่งเป็นร่าง พ.ร.บ.ที่ปรับปรุงเนื้อหาบางส่วนที่อยู่เดิมในพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550

ทั้งนี้ ในร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ระบุถึงเหตุผลที่ต้องมีการแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับปัจจุบันว่า “พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มีบทบัญญัติบางประการที่ไม่เหมาะสมต่อการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน…….ซึ่งมีรูปแบบการกระทำความผิดที่มีความซับซ้อนมากขึ้นตามพัฒนาการทางเทคโนโลยี ซึ่งเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว”

สำหรับเนื้อหาของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวมีสาระสำคัญดังนี้

มาตรา 4

“ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่น โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้รับข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์สามารถบอกเลิกหรือแจ้งความประสงค์เพื่อปฏิเสธการตอบรับได้ อันเป็นการก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้รับ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 200,000 บาท”

มาตรา 5

กำหนดว่า ถ้าผู้ใดกระทำผิดใน 5 ประการ ได้แก่

1.การเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกัน

2.นำมาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะไปเปิดเผยโดยมิชอบ

3.ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน

4.ดักรับไว้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่อยู่ระหว่างการส่งในระบบคอมพิวเตอร์ และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นมิได้มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะ และ

5.ส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่น โดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูลดังกล่าว

ทั้งหมดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-7 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 140,000 บาท ที่สำคัญ ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 200,000 บาท

ส่วนเรื่องการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสร้างความเสียหายให้กับบุคคล ร่างกฎหมายฉบับนี้ก็ได้มีกระบวนการจัดการกับผู้กระทำความผิดเข้มข้นมากขึ้นด้วย

โดนบัญญัติในมาตรา 10 ว่า “ผู้นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่นและภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท”

มาตรา 10 ดังกล่าวเป็นการแก้ไขเพื่อเพิ่มบทลงโทษให้มากขึ้นโดยให้ผู้กระทำผิดต้องรับทั้งโทษจำคุกและโทษปรับ จากเดิมที่ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 กำหนดการกระทำความผิดในลักษณะที่ว่านั้นด้วยการต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
น ในร่างกฎหมายที่ ครม.เสนอให้ สนช.พิจารณา ยังได้บัญญัติมาตรการทางศาลเพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายด้วย โดยมาตรา 11 ระบุว่า “ในคดีซึ่งมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ศาลอาจสั่ง

(1) ให้ยึดและทำลายข้อมูล

(2) ให้โฆษณาคำพิพากษาทั้งหมดหรือแต่บางส่วนในสื่อที่ใช้ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือหนังสือพิมพ์ ตามที่ศาลเห็นสมควร โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา”

เช่นเดียวกับ มาตรา 20 ที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแต่งตั้ง ยื่นคำร้องพร้อมแสดงหลักฐานต่อศาลขอให้มีคำสั่งระงับการเผยแพร่หรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นออกจากระบบคอมพิวเตอร์ได้ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ในที่นี้มีด้วยกัน 4 ประเภท ดังนี้

(1) ข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.นี้

(2) ข้อมูลที่อาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรที่กำหนดไว้ในภาคสองลักษณะ 1 หรือลักษณะ 1/1 ตามประมวลกฎหมายอาญา

(3) ข้อที่เป็นความผิดอาญาต่อกฎหมายอื่นซึ่งเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายนั้นได้ร้องขอ และข้อมูลนั้นมีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

(4) ข้อมูลที่ไม่เป็นความผิดต่อกฎหมายอื่นแต่มีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรืออันดีของประชาชน ซึ่งคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่รัฐมนตรีมีมติเป็นเอกฉันท์


ประเด็นสำคัญ พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2559

 ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=Q5ADlR7srvo

ที่มาของข้อมูล : http://nirundon.com/4me/%E0%B8%9E-%E0%B8%A3-%E0%B8%9A-%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%9B%E0%B8%B5-2559.html

วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ใบงานที่2 ความรู้เรื่อง Blog

Blog คืออะไร


Blog เป็นคำรวมมาจากศัพท์คำว่า เว็บล็อก (WeBlog) สามารถอ่านได้ว่า We Blog หรือ Web Log ไม่ว่าจะอ่านได้อย่างไรทั้งสองคำนี้ก็บ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน ว่าหมายถึงบล็อก (Blog)

คำว่า "บล็อก" สามารถใช้เป็นคำกริยาได้ซึ่งหมายถึง การเขียนบล็อก และนอกจากนี้ผู้ที่เขียนบล็อกเป็นอาชีพก็จะถูกเรียกว่า "บล็อกเกอร์"


ความเป็นมาของบล็อก


ที่มา : http://images.huffingtonpost.com/2016-05-17-1463522766-6892094-bloggercontent.jpg
      
      “Weblog” ถูกใช้งานเป็นครั้งแรกโดย Jorn Barger ในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 1997 เริ่มแรกคนที่เขียนบล็อกนั้นยังทำกันในระบบ Manual คือเขียนเว็บเพจขึ้นเองทีละหน้า เขียนเป็นงานอดิเรกของกลุ่มสื่ออิสระต่างๆ หลายๆ แห่งกลายเป็นแหล่งข่าวสำคัญให้กับหนังสือพิมพ์หรือสำนักข่าวชั้นนำ แต่ในปัจจุบันนี้ผู้คนหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก หันมาเขียนบล็อกกันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่นักเรียน นักศึกษา อาจารย์ นักเขียน ตลอดจนผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ อีกทั้งยังมีเครื่องมือหรือซอฟท์แวร์ให้เราใช้ในการเขียนบล็อกได้มากมาย เช่น Drupal, WordPress, Movable Type เป็นต้น ต่อมามีฝรั่งที่ชอบเรียกสั้นๆ ชื่อนาย Peter Merholz จับมาเรียกย่อเหลือแต่ “Blog” แทนในเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1999 และคำคำนี้เริ่มใช้เป็นครั้งแรกๆ ผ่านทางหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสาร จนมาถึงวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 2003 ทาง Oxford English Dictionary จึงได้บรรจุคำว่า blog ในพจนานุกรม แสดงว่าได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ บล็อก (Blog) ขึ้นแท่นศัพท์ยอดฮิต อันดับหนึ่ง ซึ่งถูกเสาะแสวงหา ความหมาย ทางพจนานุกรมออนไลน์ มากที่สุด ประจำปี 2004 และคนเขียนบล็อกก็ได้รับการยอมรับจากสื่อและสำนักข่าวต่างๆ ถึงความรวดเร็วในการให้ข้อมูลตั้งแต่เรื่องการเมืองไปจนกระทั่งเรื่องราวของการประชุมระดับชาติ และจากเหตุการณ์เหล่านี้ นับได้ว่าบล็อกเป็นสื่อชนิดหนึ่งที่ไม่ต่างจาก วีดีโอ, สิ่งพิมพ์, โทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งวิทยุ เราสามารถเรียกได้ว่าบล็อกได้เข้ามาเป็นสื่อชนิดใหม่ที่สำคัญอย่างแท้จริง


      
ที่มา : https://www.ocnni.org.uk/media/1351/blog.jpg

   
          สำนักข่าวเอพีรายงานว่า “เว็บไซต์ ดิกชั่นนารีหรือ พจนานุกรมออนไลน์ “เมอร์เรียม-เว็บสเตอร์” ได้ประกาศรายชื่อ คำศัพท์ซึ่งถูกคลิก เข้าไปค้นหา ความหมายผ่าน ระบบออนไลน์มากที่สุด 10 อันดับแรกประจำปีนี้ ซึ่งอันดับหนึ่งตกเป็นของคำว่า “บล็อก” (blog) ซึ่งเป็นคำย่อของ “เว็บ บล็อก” (web log) โดยนายอาเธอร์ บิคเนล โฆษกสำนักพิมพ์พจนานุกรมฉบับ เมอร์เรียม-เว็บสเตอร์ กล่าวว่า สำนักพิมพ์ได้เตรียมที่จะนำคำว่า “บล็อก” บรรจุลงในพจนานุกรมฉบับล่าสุดทั้งที่เป็นเล่มและ ฉบับออนไลน์แล้ว แต่จากความต้องการของผู้ใช้ที่หลั่งไหลเข้ามา ทำให้เมอร์เรียม-เว็บสเตอร์ตัดสินใจบรรจุคำว่า “บล็อก” ลงในเว็บไซต์ในสังกัดบางแห่งไปก่อน โดยให้คำจำกัดความไว้ว่า “เว็บไซต์ที่บรรจุ เรื่องราวเกี่ยวกับบันทึกส่วนตัวประจำวัน ซึ่งสะท้อนถึงมุมมอง ความคิดเห็นของบุคคล โดยอาจรวมลิงค์เชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์อื่นๆ ตามความประสงค์ของเจ้าของเว็บบล็อกเองด้วย” โดยทั่วไปคำศัพท์ที่ถูกบรรจุลงในพจนานุกรมนั้นจะต้องผ่านการใช้งาน อย่างแพร่หลาย มาไม่น้อยกว่า 20 ปี ซึ่งหมายความว่าคำคำนั้นจะต้องถูกนำมาใช้โดยทั่วไปในระยะเวลาหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคำศัพท์ ทางเทคโนโลยีรวมไปถึงโรคภัยไข้เจ็บใหม่ๆ อย่างเช่น โรคเอดส์ โรคไข้หวัดซาร์ส ถูกบรรจุลงในพจนานุกรมภายในระยะเวลาอันสั้น


         บล็อกมีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบันในวงการสื่อมวลชนในหลายประเทศ เนื่องจากระบบแก้ไขที่เรียบง่าย และสามารถตีพิมพ์เรื่องราวได้โดยไม่ต้องใช้ความรู้ในการเขียนเว็บไซต์ เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเผยแพร่ข้อมูล หรือแนวความคิด โดยการเขียนบล็อกสามารถเผยแพร่ข้อมูลสู่ประชาชนได้รวดเร็วและเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าสื่อในด้านอื่นจากความนิยมที่มากขึ้น ทำให้หลายเว็บไซต์เปิดให้มีส่วนการใช้งานบล็อกเพิ่มขึ้นมาในเว็บของตนเอง เพื่อเรียกให้มีการเข้าสู่เว็บไซต์มากขึ้นทั้งผู้เขียนและผู้อ่าน

Blog กับ Website ต่างกันอย่างไร?


ที่มา: https://biiwssuwannatrai.files.wordpress.com/2013/10/e0b8abe0b899e0b989e0b8b2e0b980e0b8a7e0b89ae0b89ae0b89ae0b89a.png


- เว็บไซด์ทั่วๆไปนั้น จำเป็นต้องมี Server, มี Host มี Domain Name เป็นของตนเอง ซึ่งจะต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่ในส่วนของ Blog นั้นเราสามารถสมัครใช้บริการได้แบบฟรี เพียงแต่เราต้องใช้ชื่อ Domain ของผู้ให้บริการนั้นๆ เช่นของ Google คือ Blogger.com - โดเมนเนม ก็จะเป็น "ชื่อBlogของคุณ" ต่อท้ายด้วย "blogspot.com" เช่นJoJho-Problog.blogspot.com
- เว็บไซด์ทั่วไปจะมีความยืดหยุ่นสูงในการออกแบบ ดีไซน์ เพราะเราต้องสร้างเองทั้งหมด (ดังนั้นจะเลือกดีไซน์ยังไงก็ได้)
- แต่ Blog จะมีการดีไซน์ในรูปแบบเฉพาะเรียกว่า Blog Template ซึ่งมีให้เลือกมากมาย แต่ยังคงมีลักษณะโครงสร้างที่ค่อนข้างตายตัว ไม่สามารถที่จะปรับเปลี่ยนได้มากตามใจชอบอย่างเว็บไซด์
- การสร้างเว็บไซด์ จำเป็นต้องมีทักษะความรู้ด้านคอมพิวเตอร์มากพอสมควร ทั้งในส่วนของภาษาคอมพิวเตอร์, โปรแกรมคอมติวเตอร์ต่างๆ ความรู้เบื้องต้นในเรื่องของ Network เป็นต้น แต่ Blog เพียงรู้หลักในการใช้เล็กน้อยเท่านั้น ก็สามารถสร้างเว็บไซด์ได้อย่างง่ายดาย



ส่วนประกอบของ Blog

บล็อกประกอบไปด้วยส่วนประกอบ 3 ส่วน คือ
1. หัวข้อ (Title)
2. เนื้อหา (Post หรือ Content)
3. วันเวลาที่เขียน (Date/Time)


การใช้งานบล็อก


ที่มา: https://biiwssuwannatrai.files.wordpress.com/2013/10/e0b8abe0b899e0b989e0b8b2e0b980e0b8a7e0b89ae0b89ae0b89ae0b89a.png


ผู้ใช้งานบล็อกจะแก้ไขและบริหารบล็อกผ่านทางเว็บบราวเซอร์เหมือนการใช้งานและอ่านเว็บไซต์ทั่วไป โดยจะมีรูปแบบบริหารบล็อกที่แตกต่างกัน เช่นบางระบบที่มีบรรณาธิการของบล็อก ผู้เขียนหลายคนจะส่งเรื่องเข้าทางบล็อก และจะต้องรอให้บรรณาธิการอนุมัติให้บล็อกเผยแพร่ก่อน บล็อกถึงจะแสดงผลในเว็บไซต์นั้นได้ ซึ่งจะแตกต่างจากบล็อกส่วนตัวที่จะให้แสดงผลได้ทันที
        ผู้เขียนบล็อกในปัจจุบันจะใช้งานบล็อกในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งไม่ว่า ติดตั้งซอฟต์แวร์ของตัวเอง หรือใช้งานบล็อกผ่านทางเว็บไซต์ที่ให้บริการบล็อก ผู้เขียนบล็อกสามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องมีพื้นฐานความรู้ในด้าน HTML หรือการทำเว็บไซต์แต่อย่างใด ทำให้ผู้เขียนบล็อกสามารถใช้เวลาส่วนใหญ่ในการบริหารจัดการ เพิ่มเติม ข้อมูลและสารสนเทศแทนได้ นอกจากนี้ระบบการจัดการบล็อกจะสนับสนุน ระบบ WYSIWYG ซึ่งทำให้ง่ายต่อการเขียน และอาจเพิ่มเติมการมีเทมเพลตในหลายแบบให้เลือกใช้
       สำหรับผู้อ่านบล็อกจะใช้งานได้ในลักษณะเหมือนอ่านเว็บไซต์ทั่วไป และสามารถแสดงความเห็นได้ในส่วนท้ายของแต่ละบล็อกโดยอาจจะต้องผ่านการลงทะเบียนในบางบล็อก นอกจากนี้ผู้อ่านบล็อกสามารถอ่านบล็อกได้ผ่านระบบฟีด (Feed) ซึ่งมีให้บริการในบล็อกทั่วไป ทำให้ผู้ใช้สามารถอ่านบล็อกได้โดยตรงผ่านโปรแกรมตัวอื่นโดยไม่จำเป็นต้องเข้ามาสู่หน้าบล็อกนั้น



ข้อดีและข้อเสียของ Blog

   

ที่มา : http://static1-velaeasy.readyplanet.com/www.greenyearsupply.com/images/editor/Right-and-wrong-check-marks.jpg


ข้อดี


- มีอิสระที่จะนำเสนอสิ่งต่างๆ (ที่ไม่ไปก้าวล่วงบุคคลอื่น และไม่ผิดกฎกติกาของผู้ให้บริการ Blog)

- เปิดโอกาสให้เจ้าของ Blog ได้รับฟังความคิดเห็นของผู้เข้าชมและโต้ตอบกลับได้อย่างอิสระ

- ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในด้านภาษาโปรแกรมต่างๆ

- หากพอมีความรู้ด้านภาษาเว็บพื้นฐาน (HTML) จะสามารถช่วยทำให้เข้าไปแก้ไข Source Code ได้

เพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบ Template ของ Blog ตามต้องการ

- สามารถใช้ Blog ในการทำธุรกิจหารายได้ จากการโปรโมทสินค้าหรือบริการ

- สามารถใช้สร้างเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้

- ใช้งานได้ฟรี!! ไม่เสียค่าใช้จ่าย (ยกเว้นต้องการจด Domain Name เป็น .com .net .org .info)

- มี Template ให้เลือกใช้มากมาย (ทั้งแบบฟรีและเสียเงิน)

- Server มีความเสถียรสูง ปัญหาในด้านความช้า หรือ Server ล่ม พบน้อยมาก



ข้อเสีย
- ฟังก์ชั่นและลูกเล่นต่างๆ ยังมีน้อยหากเทียบกับเว็บไซด์ที่สร้างเองหรือเว็บไซด์สำเร็จรูป

- แม้มีรูปแบบ Template ให้เลือกใช้มากมายแต่โครงสร้างเว็บก็ยังคงค่อนข้างตายตัว

- เนื่องจากเป็นบริการให้ใช้ฟรี หากเราทำผิดกฎของผู้ให้บริการ Blog เราจะถูกแบน และมีโอกาส

ถูกลบ Blog ได้ (แต่ถ้าไม่ได้ทำผิดกฎอะไร ก็อยู่ได้อย่างยาวนานจนกว่าผู้บริการจะเลิกให้บริการ)
 

ขั้นตอนการสร้าง Blog

ขันตอนที่ 1 
       เข้าไปที่เว็บ http://www.blogger.com ก็จะขึ้นหน้าจอตามรูป


ขั้นตอนที่ 2
        จากนั้นทำการสมัคร (สำหรับบุคคลที่ยังไม่มี Gmail ) ถ้าหากมีแล้วให้ล๊อกอินได้เลย



ขั้นตอนที่ 3
          กรอกข้อมูลตามความเป็นจริง


ขั้นตอนที่ 4
         คลิกที่ปุ่มสร้างบล๊อกใหม่ตามรูป



ขั้นตอนที่ 5
         พอคลิกแล้วจะขึ้นตามรูป จากนั้นให้กรอกข้อมูลลงไป เลือกแม่แบบตามใจชอบ



ขั้นตอนที่ 6
         คลิกปุ่มตามรูป


ขั้นตอนที่ 7
         ใส่ข้อมูลต่างๆ


ขั้นตอนที่ 8
          คลิกปุ่ม "แสดงตัวอย่าง" ถ้าพอใจแล้วให้กดบันทึก


สร้าง blog แบบง่าย ๆ
ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=_TQovonBRXU


...........................................................



ที่มาของข้อมูล : 1.http://www.thaigoodview.com/node/81542

                           2.http://www.jojho.com/2013/05/what-is-blog.html

                           3.http://thelegendblogger.blogspot.com/